โซล เมืองหลวงใหม่แห่งศิลปะ ?

Read in English / 阅读语言 English 简体中文

Baik Art, Frieze Seoul 2024 Photo by Lets Studio. Courtesy Frieze and Lets Studio.

Seoul เมืองหลวงใหม่แห่งศิลปะ

Frieze Seoul 2023 Photo by Lets Studio. Courtesy Frieze and Lets Studio.

เมื่อปี 2022 ผมเคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่า กรุงโซลอาจกำลังเดินหน้าสู่การเป็น “เมืองศิลปะ” อย่างเต็มรูปแบบ (อ่านบทความปี 2022 ที่นี่) ซึ่งในตอนนั้นเป็นการฉายภาพแนวโน้มจากข้อมูลเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในพิพิธภัณฑ์ การเติบโตของตลาดสะสมศิลปะ และการผนวกพลัง Soft Power จากอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลี

สามปีผ่านไป ข้อสังเกตดังกล่าวเริ่มปรากฏเป็นภาพจริงที่จับต้องได้ เมื่อสัปดาห์ Seoul Art Week 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1–7 กันยายน นำพลังศิลปะระดับโลกมาสู่เมืองหลวงเกาหลีใต้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทุกพื้นที่ ตั้งแต่พิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี่ จนถึงพื้นที่ศิลปะเกิดใหม่ ต่างถ่ายทอดบรรยากาศเดียวกันคือ การประกาศตัวตนของโซลในฐานะศูนย์กลางใหม่แห่งศิลปะเอเชีย

Frieze & Kiaf: การยึดศูนย์กลางตลาดศิลปะเอเชีย

การพบกันระหว่าง สตรีหมายเลขหนึ่งของเกาหลีใต้ กับ แพทริค ลี (ผู้อำนวยการของ Frieze Seoul) พร้อมด้วย ทาคาชิ มูราคามิ, Image Courtesy Frieze Seoul 2025

หนึ่งในสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดได้ถูกสะท้อนผ่านเวที Frieze Seoul 2025 ซึ่งในจดหมายข่าวอย่างเป็นทางการได้ใช้ถ้อยคำเชิงท้าทายว่า “Frieze Seoul ได้กลายเป็นศูนย์กลางศิลปะของเอเชีย” คำประกาศนี้ไม่ใช่เพียงการสร้างวาทกรรมทางการตลาดเท่านั้น แต่คือการส่งสารตรงถึงทั้งภูมิภาค และสะท้อนความมั่นใจจากข้อมูลและบรรยากาศที่เกิดขึ้นจริงตลอดการจัดงาน 4 ครั้งที่ผ่านมาซึ่งเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2022

ในเชิงตัวเลข Frieze Seoul มีผู้เข้าชมประมาณ 70,000 คน ขณะที่งาน Kiaf ซึ่งจัดควบคู่กันแม้จะเปิดยาวนานกว่าเพียงหนึ่งวัน ก็ยังดึงดูดผู้เข้าชมได้ถึง 82,000 คน (อ้างอิง The Chosun Daily) เมื่อมองในเชิงคุณภาพ สิ่งที่น่าจับตาคือสัดส่วนของแกลเลอรี่ที่เลือกนำเสนอผลงานศิลปินเกาหลีมากขึ้น ไม่ใช่แค่ศิลปินตะวันตกหรือนานาชาติเหมือนในอดีต การปรับสมดุลนี้ทำให้ศิลปินในประเทศมีพื้นที่ออกไปต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น

และภาพที่ตอกย้ำสถานะนี้คือการพบปะระหว่างสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของเกาหลีใต้ และ แพทริค ลี ผู้อำนวยการ Frieze Seoul ร่วมด้วยศิลปินระดับโลก ทาคาชิ มูราคามิ ที่ปรากฏในงาน กลายเป็นสัญลักษณ์เชิงสัญญะถึงการเชื่อมโยงของรัฐ ผู้นำในวงการศิลปะ และศิลปินนานาชาติในการสร้างภาพลักษณ์แห่งเมืองศิลปะให้กับกรุงโซล

เศรษฐกิจศิลปะ: ตัวเลขและดีลระดับประวัติศาสตร์

ภาพทางเข้างาน Art Fair จำลอง, ภาพประกอบโดย AI

แม้จำนวนผู้เข้าชมจะใกล้เคียงกับปีก่อน แต่ Seoul Art Week 2025 ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนในเชิงเศรษฐกิจศิลปะที่ไม่อาจมองข้าม เมื่อแกลเลอรี่ Hauser & Wirth จากสวิตเซอร์แลนด์ปิดการขายผลงานล่าสุดของ Mark Bradford “Okay, then I apologize” (2025) งานจิตรกรรมขนาดใหญ่แบบสามตอนไปในมูลค่า 4.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 142 ล้านบาท ให้แก่นักสะสมชาวเอเชียที่ไม่เปิดเผยชื่อ

ดีลนี้ไม่เพียงสร้างสถิติใหม่เป็นยอดขายผลงานสูงสุดต่อชิ้นให้กับ Frieze Seoul (ถึงจะเป็นชิ้นที่ประกอบไปด้วยภาพ 3 ภาพก็เถอะนะ) แต่ยังส่งสารสำคัญไปยังตลาดศิลปะโลกว่า กรุงโซล ไม่ใช่แค่พื้นที่แสดงงาน ไม่ได้มีแต่ความบันเทิง หรือ เทคโนโลยีล้ำสมัยในเชิงศิลปะ แต่ยังสามารถดึงดูดนักสะสมระดับบนได้จริง และเป็น “ตลาด” ที่ต้องจับตาในเชิงยุทธศาสตร์ของนักสะสมและแกลเลอรี่ระดับนานาชาติ

Seoul Art Week: จากนิทรรศการระดับโลกถึงพื้นที่การค้าเชิงศิลป์

หากมองให้ครบถ้วน บรรยากาศของ Seoul Art Week 2025 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในฮอลล์จัดแสดงของ Frieze หรือ Kiaf แต่ทั้งเมืองถูกแปลงเป็นพื้นที่ศิลปะที่มีมิติหลากหลาย ตั้งแต่นิทรรศการจากศิลปินระดับโลกที่มาจากนานาชาติ รวมถึงผลงานศิลปินเกาหลีเอง และ การสร้างพื้นที่ทางศิลปะในรูปแบบต่างๆที่เรียกว่าสร้างความอาร์ตอบอวลไปทั่วกรุงโซล ตัวอย่างเช่น

นิทรรศการ “Drawing on Space” ของ Antony Gormley,  Image Courtesy to Museum SAN

นิทรรศการของ Antony Gormley ศิลปินอังกฤษซึ่งนำเสนองานแบบสองส่วนพร้อมกันในกรุงโซล “Inextricable” จัดขึ้นทั้งที่ Thaddaeus Ropac และ White Cube ขณะที่อีกด้านยังมี “Drawing on Space” ที่ Museum SAN เมืองวอนจู นิทรรศการครั้งนี้คือบทสนทนาที่เข้มข้นระหว่างร่างกาย มนุษย์ และเมืองสมัยใหม่ ผ่านรูปทรงที่เล่นกับมิติของสถาปัตยกรรมและพื้นที่ว่าง โดยเฉพาะเมื่อโซลคือมหานครที่สะท้อนการอยู่ร่วมกันของคนกว่าครึ่งโลกในเขตเมือง

นิทรรศการ Lee Bul: From 1998 to Now, Image Courtesy to Leeum Museum of Art

Lee Bul หนึ่งในศิลปินหญิงชาวเกาหลีผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของโลกศิลปะร่วมสมัย ได้จัดแสดงผลงานกว่า 150 ชิ้นที่ Leeum Museum of Art ถือเป็นการทบทวนเส้นทางเกือบสามทศวรรษ ตั้งแต่ชุด Cyborg และ Anagram ที่แจ้งเกิดเธอในเวทีนานาชาติ ไปจนถึงงานร่วมสมัยที่ยังคงตั้งคำถามกับร่างกาย อุดมคติ และโลกยูโทเปียที่ไม่สมบูรณ์  ดูพรีวิวได้ที่นี่

Nam June Paik, Candle TV, 1975(1999), นิทรรศการ The City of Nam June Paik: The Sea Fused with The Sun, Image Courtesry to Nam June Paik Art Center

อีกด้านคือการรำลึกถึงตำนานสื่อวิดีโอ Nam June Paik ผ่านนิทรรศการ The City of Nam June Paik: The Sea Fused with The Sun ที่ Nam June Paik Art Center เมืองยงอิน นอกจากการแสดงผลงานคลาสสิกของแพกแล้ว ยังเปิดพื้นที่ให้ศิลปินร่วมสมัยสี่คนต่อยอดแนวคิดของเขาในยุคดิจิทัล เป็นการเชื่อมประวัติศาสตร์กับอนาคตของสื่อศิลปะได้อย่างทรงพลัง

ผลงาน “Sunshine” สุนัขพันธุ์ดัชชุนด์ขนาดมหึมา ที่ Haus Nowhere Seoul สาขาใหม่ | Image Courtesy to Haus Nowhere Seoul

ขณะเดียวกัน บรรยากาศแห่งความเป็น “เมืองศิลปะ” ไม่ได้จำกัดอยู่ในพื้นที่พิพิธภัณฑ์เท่านั้น เพราะมีการเปิดตัว Haus Nowhere Seoul พื้นที่ร้านค้าแบบ Conceptual Store ที่ได้คำชื่นชมเป็นอย่างมากตั้งแต่การเปิดสาขาในต่างประเทศ อ่านเรื่องราวการเปิดตัวของ Haus Nowwhere Seoul ได้ที่นี่

ทางเข้า Frieze House Seoul, ออกแบบโดย studio Samuso Hyoja ในกรุงโซล พร้อมกับผลงานศิลปะจัดวางโดยสตูดิโอญี่ปุ่น SANAA, Image Courtesy to Frieze

และนอกจากนี้ยังมีพื้นที่ศิลปะที่เรียกเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างดี คือการเปิดตัว Frieze House Seoul พื้นที่ถาวรแห่งแรกของ Frieze ในเอเชีย ตั้งอยู่ที่ย่านยักซูดง อาคารสี่ชั้นที่ได้รับการรีโนเวทโดย Samuso Hyoja พร้อมสวนกลางแจ้งที่มีผลงานศิลปะจัดวางแบบเฉพาะพื้นที่ (site-specific) ของ SANAA จากญี่ปุ่น

โดยพื้นที่แห่งนี้จะจัดโปรแกรมนิทรรศการตลอดทั้งปี ทั้ง residencies และโปรเจ็กต์พิเศษ เพื่อเสริมพลังให้กรุงโซลไม่ใช่มีเพียงกิจกรรมของ Frieze ตามปฏิทิน แต่เพิ่มความมีชีวิตชีวาตลอด 365 วัน และ ยังเป็นฐานทัพสำคัญของงาน Frieze ในเอเชีย

Soft Power ผสาน “เมืองศิลปะ”

Mitchell-Innes & Nash, Frieze Seoul 2024 Photo by Lets Studio. Courtesy of Frieze and Lets Studio.

การที่ โซล มาถึงจุดนี้ได้ ไม่ใช่เพราะโชคช่วย หรือ แค่เกาะกระแส แต่เป็นแผนการที่วางไว้มาตั้งแต่ต้นแล้วโดยเฉพาะเรื่อง Soft Power ซึ่งเมื่อ K-Pop หรือในวงการบันเทิงนั้นติดลมบนแล้ว การถ่ายโอนพลังแห่งความอ่อนนุ่มอันลึกซึ้งนี้สามารถนำมาสนับสนุน (Endorse) วงการศิลปะร่วมสมัยได้อย่างเป็นรูปธรรม (เขาไม่ใช่ทำแบบกราด หว่านไปทั่ว)

ลลิษา มโนบาล (Lisa Blackpink) มาเดินเยี่ยมชมงาน Frieze Seoul 2025

ก่อนเริ่มงาน Frieze Seoul มีการจัดงานเลี้ยง “Paradise Art Night” ที่ Paradise City เมือง อินชอน เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2025 งานดังกล่าวมีทั้งดาราและศิลปินในวงการบันเทิงและศิลปินชื่อดังเข้าร่วม ตั้งแต่ ทาคาชิ มูราคามิ จนถึงสมาชิก Blackpink และ BTS เป็นการสะท้อนอย่างหนึ่งว่า K-Pop ไม่ได้ถูกแยกออกจากกัน แต่ถูกจัดวางให้อยู่ใน Ecosystem ศิลปะอย่างเป็นระบบ เฉกเช่นเดียวงานเปิดตัว Frieze Seoul ครั้งแรกเมื่อปี 2022 ได้พา อี จ็องแจ พระเอกซีรีย์ Squid Game มารวมเปิดงานในฐานะนักสะสมศิลปะตัวตึงอีกคนหนึ่งแห่งเกาหลีใต้

นอกจากค่ำคืนที่ Paradise Art Night ลลิษา มโนบาล (Lisa Blackpink) ได้มาเดินเยี่ยมชมงาน Frieze Seoul 2025 ละพูดคุยกับศิลปินไทย ก้องกาน กันตภณ เมธีกุล อีกด้วย

สู่การเป็น “เมืองศิลปะ”: ระบบนิเวศ, แกลเลอรี่, ศิลปิน และการยืดหยัดอย่างยั่งยืน

บรรยากาศ Haus Nowhere Seoul สาขาใหม่ | Image Courtesy to Haus Nowhere Seoul

คำถามสำคัญหลัง Seoul Art Week 2025 และก้าวต่อไปของปี 2026 คงไม่ได้เน้นที่จำนวนผู้เข้าชมงาน หรือมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นต่อไปแล้ว แต่คือ โซลจะรักษาระดับความสำเร็จและบรรยากาศความเป็น “เมืองศิลปะ” เช่นนี้ได้ยั่งยืนแค่ไหน ในโลกที่มีการแข่งขันรุนแรงและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

การไหลบ่าของแกลเลอรี่นานาชาติ ที่เข้ามาเปิดสาขาในโซลมากขึ้นทุกปี การเสริมพลังด้วย Soft Power และเพิ่มการลงทุนของภาคส่วนต่างๆ สิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อ “ประชากรของเมืองศิลปะ” ทั้งในเชิงกายภาพและเชิงสัญลักษณ์ ศิลปินท้องถิ่นเองได้มีพื้นที่จัดแสดงเคียงข้างกับแกลเลอรี่แม่เหล็กของโลก หรือ Blue-Chip Galleries อีกหน่อยคงไม่ต้องแปลกใจถ้าจะมีศิลปินจากเกาหลีใต้มีงานขึ้นประมูลในห้องประมูลชั้นนำระดับโลก

คนรักศิลปะเองก็จะได้ชมแนวคิดทางศิลปะใหม่ๆที่จะมาจากต่างประเทศด้วยเช่นเดียวกัน (จะเกิดการถ่ายโอนงานระหว่างกัน ซึ่งคืออะไรไปดูคำอธิบายได้ที่คลิปนี้)

บรรยากาศในนิทรรศการจำลอง ภาพประกอบโดย AI

สำหรับประเทศที่เห็นค่าของการเป็นเมืองศิลปะ จะทราบว่าการเดิมพันครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ถ้าจะมองในระดับภูมิภาคเอเชียทั้ง จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกงและสิงคโปร์ยังคงรักษาบทบาทเป็นคู่แข่งสำคัญ รวมถึงตลาดศิลปะโลกที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงเชิงนวัตกรรม หากโซลต้องการยืนระยะให้ได้จริง จำเป็นต้องสร้าง สมการที่สมดุลระหว่างการลงทุนโครงสร้างถาวรแบบไม่ไปปล่อยให้ตายกลางทาง พร้อมกับ การบ่มเพาะศิลปินรุ่นใหม่ และการเชื่อมโยงกับพลัง Soft Power ที่เป็นต้นทุนของประเทศที่มีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว หรือพูดง่ายๆเป็นการปรับใช้แนวคิดการยืนหยัดอย่างยั่งยืนในโลกศิลปะนั่นเอง

บรรยากาศในนิทรรศการจำลอง ภาพประกอบโดย AI

สุดท้ายนี้ถ้าถามว่า  “วันนี้ โซลเป็นเมืองหลวงศิลปะแห่งเอเชียแล้วรึยัง?”

ผมต้องตอบตรงๆว่า “ยังพูดไม่ได้เต็มปากนัก”

แต่สิ่งที่ผมมั่นใจคือ โซล กำลังเดินเข้าใกล้สู่ตำแหน่งนั้นมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว

เรื่อง: เต้ Art Man