Read in English / 阅读语言 English
简体中文

Seoul เมืองหลวงใหม่แห่งศิลปะ

เมื่อปี 2022 ผมเคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่า กรุงโซลอาจกำลังเดินหน้าสู่การเป็น “เมืองศิลปะ” อย่างเต็มรูปแบบ (อ่านบทความปี 2022 ที่นี่) ซึ่งในตอนนั้นเป็นการฉายภาพแนวโน้มจากข้อมูลเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในพิพิธภัณฑ์ การเติบโตของตลาดสะสมศิลปะ และการผนวกพลัง Soft Power จากอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลี
สามปีผ่านไป ข้อสังเกตดังกล่าวเริ่มปรากฏเป็นภาพจริงที่จับต้องได้ เมื่อสัปดาห์ Seoul Art Week 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1–7 กันยายน นำพลังศิลปะระดับโลกมาสู่เมืองหลวงเกาหลีใต้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทุกพื้นที่ ตั้งแต่พิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี่ จนถึงพื้นที่ศิลปะเกิดใหม่ ต่างถ่ายทอดบรรยากาศเดียวกันคือ การประกาศตัวตนของโซลในฐานะศูนย์กลางใหม่แห่งศิลปะเอเชีย
Frieze & Kiaf: การยึดศูนย์กลางตลาดศิลปะเอเชีย

หนึ่งในสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดได้ถูกสะท้อนผ่านเวที Frieze Seoul 2025 ซึ่งในจดหมายข่าวอย่างเป็นทางการได้ใช้ถ้อยคำเชิงท้าทายว่า “Frieze Seoul ได้กลายเป็นศูนย์กลางศิลปะของเอเชีย” คำประกาศนี้ไม่ใช่เพียงการสร้างวาทกรรมทางการตลาดเท่านั้น แต่คือการส่งสารตรงถึงทั้งภูมิภาค และสะท้อนความมั่นใจจากข้อมูลและบรรยากาศที่เกิดขึ้นจริงตลอดการจัดงาน 4 ครั้งที่ผ่านมาซึ่งเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2022
ในเชิงตัวเลข Frieze Seoul มีผู้เข้าชมประมาณ 70,000 คน ขณะที่งาน Kiaf ซึ่งจัดควบคู่กันแม้จะเปิดยาวนานกว่าเพียงหนึ่งวัน ก็ยังดึงดูดผู้เข้าชมได้ถึง 82,000 คน (อ้างอิง The Chosun Daily) เมื่อมองในเชิงคุณภาพ สิ่งที่น่าจับตาคือสัดส่วนของแกลเลอรี่ที่เลือกนำเสนอผลงานศิลปินเกาหลีมากขึ้น ไม่ใช่แค่ศิลปินตะวันตกหรือนานาชาติเหมือนในอดีต การปรับสมดุลนี้ทำให้ศิลปินในประเทศมีพื้นที่ออกไปต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น
และภาพที่ตอกย้ำสถานะนี้คือการพบปะระหว่างสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของเกาหลีใต้ และ แพทริค ลี ผู้อำนวยการ Frieze Seoul ร่วมด้วยศิลปินระดับโลก ทาคาชิ มูราคามิ ที่ปรากฏในงาน กลายเป็นสัญลักษณ์เชิงสัญญะถึงการเชื่อมโยงของรัฐ ผู้นำในวงการศิลปะ และศิลปินนานาชาติในการสร้างภาพลักษณ์แห่งเมืองศิลปะให้กับกรุงโซล
เศรษฐกิจศิลปะ: ตัวเลขและดีลระดับประวัติศาสตร์

แม้จำนวนผู้เข้าชมจะใกล้เคียงกับปีก่อน แต่ Seoul Art Week 2025 ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนในเชิงเศรษฐกิจศิลปะที่ไม่อาจมองข้าม เมื่อแกลเลอรี่ Hauser & Wirth จากสวิตเซอร์แลนด์ปิดการขายผลงานล่าสุดของ Mark Bradford “Okay, then I apologize” (2025) งานจิตรกรรมขนาดใหญ่แบบสามตอนไปในมูลค่า 4.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 142 ล้านบาท ให้แก่นักสะสมชาวเอเชียที่ไม่เปิดเผยชื่อ
ดีลนี้ไม่เพียงสร้างสถิติใหม่เป็นยอดขายผลงานสูงสุดต่อชิ้นให้กับ Frieze Seoul (ถึงจะเป็นชิ้นที่ประกอบไปด้วยภาพ 3 ภาพก็เถอะนะ) แต่ยังส่งสารสำคัญไปยังตลาดศิลปะโลกว่า กรุงโซล ไม่ใช่แค่พื้นที่แสดงงาน ไม่ได้มีแต่ความบันเทิง หรือ เทคโนโลยีล้ำสมัยในเชิงศิลปะ แต่ยังสามารถดึงดูดนักสะสมระดับบนได้จริง และเป็น “ตลาด” ที่ต้องจับตาในเชิงยุทธศาสตร์ของนักสะสมและแกลเลอรี่ระดับนานาชาติ
Seoul Art Week: จากนิทรรศการระดับโลกถึงพื้นที่การค้าเชิงศิลป์
หากมองให้ครบถ้วน บรรยากาศของ Seoul Art Week 2025 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในฮอลล์จัดแสดงของ Frieze หรือ Kiaf แต่ทั้งเมืองถูกแปลงเป็นพื้นที่ศิลปะที่มีมิติหลากหลาย ตั้งแต่นิทรรศการจากศิลปินระดับโลกที่มาจากนานาชาติ รวมถึงผลงานศิลปินเกาหลีเอง และ การสร้างพื้นที่ทางศิลปะในรูปแบบต่างๆที่เรียกว่าสร้างความอาร์ตอบอวลไปทั่วกรุงโซล ตัวอย่างเช่น

นิทรรศการของ Antony Gormley ศิลปินอังกฤษซึ่งนำเสนองานแบบสองส่วนพร้อมกันในกรุงโซล “Inextricable” จัดขึ้นทั้งที่ Thaddaeus Ropac และ White Cube ขณะที่อีกด้านยังมี “Drawing on Space” ที่ Museum SAN เมืองวอนจู นิทรรศการครั้งนี้คือบทสนทนาที่เข้มข้นระหว่างร่างกาย มนุษย์ และเมืองสมัยใหม่ ผ่านรูปทรงที่เล่นกับมิติของสถาปัตยกรรมและพื้นที่ว่าง โดยเฉพาะเมื่อโซลคือมหานครที่สะท้อนการอยู่ร่วมกันของคนกว่าครึ่งโลกในเขตเมือง

Lee Bul หนึ่งในศิลปินหญิงชาวเกาหลีผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของโลกศิลปะร่วมสมัย ได้จัดแสดงผลงานกว่า 150 ชิ้นที่ Leeum Museum of Art ถือเป็นการทบทวนเส้นทางเกือบสามทศวรรษ ตั้งแต่ชุด Cyborg และ Anagram ที่แจ้งเกิดเธอในเวทีนานาชาติ ไปจนถึงงานร่วมสมัยที่ยังคงตั้งคำถามกับร่างกาย อุดมคติ และโลกยูโทเปียที่ไม่สมบูรณ์ ดูพรีวิวได้ที่นี่

อีกด้านคือการรำลึกถึงตำนานสื่อวิดีโอ Nam June Paik ผ่านนิทรรศการ The City of Nam June Paik: The Sea Fused with The Sun ที่ Nam June Paik Art Center เมืองยงอิน นอกจากการแสดงผลงานคลาสสิกของแพกแล้ว ยังเปิดพื้นที่ให้ศิลปินร่วมสมัยสี่คนต่อยอดแนวคิดของเขาในยุคดิจิทัล เป็นการเชื่อมประวัติศาสตร์กับอนาคตของสื่อศิลปะได้อย่างทรงพลัง

ขณะเดียวกัน บรรยากาศแห่งความเป็น “เมืองศิลปะ” ไม่ได้จำกัดอยู่ในพื้นที่พิพิธภัณฑ์เท่านั้น เพราะมีการเปิดตัว Haus Nowhere Seoul พื้นที่ร้านค้าแบบ Conceptual Store ที่ได้คำชื่นชมเป็นอย่างมากตั้งแต่การเปิดสาขาในต่างประเทศ อ่านเรื่องราวการเปิดตัวของ Haus Nowwhere Seoul ได้ที่นี่

และนอกจากนี้ยังมีพื้นที่ศิลปะที่เรียกเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างดี คือการเปิดตัว Frieze House Seoul พื้นที่ถาวรแห่งแรกของ Frieze ในเอเชีย ตั้งอยู่ที่ย่านยักซูดง อาคารสี่ชั้นที่ได้รับการรีโนเวทโดย Samuso Hyoja พร้อมสวนกลางแจ้งที่มีผลงานศิลปะจัดวางแบบเฉพาะพื้นที่ (site-specific) ของ SANAA จากญี่ปุ่น
โดยพื้นที่แห่งนี้จะจัดโปรแกรมนิทรรศการตลอดทั้งปี ทั้ง residencies และโปรเจ็กต์พิเศษ เพื่อเสริมพลังให้กรุงโซลไม่ใช่มีเพียงกิจกรรมของ Frieze ตามปฏิทิน แต่เพิ่มความมีชีวิตชีวาตลอด 365 วัน และ ยังเป็นฐานทัพสำคัญของงาน Frieze ในเอเชีย
Soft Power ผสาน “เมืองศิลปะ”

การที่ โซล มาถึงจุดนี้ได้ ไม่ใช่เพราะโชคช่วย หรือ แค่เกาะกระแส แต่เป็นแผนการที่วางไว้มาตั้งแต่ต้นแล้วโดยเฉพาะเรื่อง Soft Power ซึ่งเมื่อ K-Pop หรือในวงการบันเทิงนั้นติดลมบนแล้ว การถ่ายโอนพลังแห่งความอ่อนนุ่มอันลึกซึ้งนี้สามารถนำมาสนับสนุน (Endorse) วงการศิลปะร่วมสมัยได้อย่างเป็นรูปธรรม (เขาไม่ใช่ทำแบบกราด หว่านไปทั่ว)

ก่อนเริ่มงาน Frieze Seoul มีการจัดงานเลี้ยง “Paradise Art Night” ที่ Paradise City เมือง อินชอน เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2025 งานดังกล่าวมีทั้งดาราและศิลปินในวงการบันเทิงและศิลปินชื่อดังเข้าร่วม ตั้งแต่ ทาคาชิ มูราคามิ จนถึงสมาชิก Blackpink และ BTS เป็นการสะท้อนอย่างหนึ่งว่า K-Pop ไม่ได้ถูกแยกออกจากกัน แต่ถูกจัดวางให้อยู่ใน Ecosystem ศิลปะอย่างเป็นระบบ เฉกเช่นเดียวงานเปิดตัว Frieze Seoul ครั้งแรกเมื่อปี 2022 ได้พา อี จ็องแจ พระเอกซีรีย์ Squid Game มารวมเปิดงานในฐานะนักสะสมศิลปะตัวตึงอีกคนหนึ่งแห่งเกาหลีใต้
นอกจากค่ำคืนที่ Paradise Art Night ลลิษา มโนบาล (Lisa Blackpink) ได้มาเดินเยี่ยมชมงาน Frieze Seoul 2025 ละพูดคุยกับศิลปินไทย ก้องกาน กันตภณ เมธีกุล อีกด้วย
สู่การเป็น “เมืองศิลปะ”: ระบบนิเวศ, แกลเลอรี่, ศิลปิน และการยืดหยัดอย่างยั่งยืน

คำถามสำคัญหลัง Seoul Art Week 2025 และก้าวต่อไปของปี 2026 คงไม่ได้เน้นที่จำนวนผู้เข้าชมงาน หรือมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นต่อไปแล้ว แต่คือ โซลจะรักษาระดับความสำเร็จและบรรยากาศความเป็น “เมืองศิลปะ” เช่นนี้ได้ยั่งยืนแค่ไหน ในโลกที่มีการแข่งขันรุนแรงและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การไหลบ่าของแกลเลอรี่นานาชาติ ที่เข้ามาเปิดสาขาในโซลมากขึ้นทุกปี การเสริมพลังด้วย Soft Power และเพิ่มการลงทุนของภาคส่วนต่างๆ สิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อ “ประชากรของเมืองศิลปะ” ทั้งในเชิงกายภาพและเชิงสัญลักษณ์ ศิลปินท้องถิ่นเองได้มีพื้นที่จัดแสดงเคียงข้างกับแกลเลอรี่แม่เหล็กของโลก หรือ Blue-Chip Galleries อีกหน่อยคงไม่ต้องแปลกใจถ้าจะมีศิลปินจากเกาหลีใต้มีงานขึ้นประมูลในห้องประมูลชั้นนำระดับโลก
คนรักศิลปะเองก็จะได้ชมแนวคิดทางศิลปะใหม่ๆที่จะมาจากต่างประเทศด้วยเช่นเดียวกัน (จะเกิดการถ่ายโอนงานระหว่างกัน ซึ่งคืออะไรไปดูคำอธิบายได้ที่คลิปนี้)

สำหรับประเทศที่เห็นค่าของการเป็นเมืองศิลปะ จะทราบว่าการเดิมพันครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ถ้าจะมองในระดับภูมิภาคเอเชียทั้ง จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกงและสิงคโปร์ยังคงรักษาบทบาทเป็นคู่แข่งสำคัญ รวมถึงตลาดศิลปะโลกที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงเชิงนวัตกรรม หากโซลต้องการยืนระยะให้ได้จริง จำเป็นต้องสร้าง สมการที่สมดุลระหว่างการลงทุนโครงสร้างถาวรแบบไม่ไปปล่อยให้ตายกลางทาง พร้อมกับ การบ่มเพาะศิลปินรุ่นใหม่ และการเชื่อมโยงกับพลัง Soft Power ที่เป็นต้นทุนของประเทศที่มีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว หรือพูดง่ายๆเป็นการปรับใช้แนวคิดการยืนหยัดอย่างยั่งยืนในโลกศิลปะนั่นเอง

สุดท้ายนี้ถ้าถามว่า “วันนี้ โซลเป็นเมืองหลวงศิลปะแห่งเอเชียแล้วรึยัง?”
ผมต้องตอบตรงๆว่า “ยังพูดไม่ได้เต็มปากนัก”
แต่สิ่งที่ผมมั่นใจคือ โซล กำลังเดินเข้าใกล้สู่ตำแหน่งนั้นมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
เรื่อง: เต้ Art Man