KAWS สนามหลวง ดราม่า ไม่เหมาะสม
KAWS สนามหลวง จากโปรเจค KAWS: Holiday ที่ล่าสุดมาที่ประเทศไทย ได้กลายเป็นกระแสถกเถียงอย่างรวดเร็ว บางคนก็ตื่นเต้นดีใจที่ศิลปินคนโปรดของตัวเองจะมาแสดงงานที่ไทย บางคนไม่พอใจ โดยเฉพาะเสียงที่บอกว่า “ไม่เหมาะสม” กับพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ของประเทศ
ซึ่งในโลกศิลปะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในโลกประวัติศาสตร์ศิลปะเคยผ่านเรื่องลักษณะนี้มาแล้วหลายครั้ง ซึ่งวันนี้ เต้ Art Man จะขอเล่าและแชร์เรื่องราวเพื่อให้เป็นข้อมูล และ รู้จักกับศิลปินคนนี้มากยิ่งขึ้นครับ

KAWS คือ
KAWS (อ่านว่า คอว์ส) เป็นชื่อในวงการศิลปะของ Brian Donnelly ศิลปินร่วมสมัยชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นเจ้าของผลงาน “Companion” คาแรกเตอร์ตัวสีเทามีจุดเด่นที่ตาและหลังมือเป็นรูปกากบาท (XX) และรูปลักษณ์โดยรวมที่ดูคล้ายตัวการ์ตูนอย่างมิกกี้เมาส์ซึ่งคาดกันว่า Brian น่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากการที่เขาได้ไปร่วมงานกับ Disney ในช่วงเวลาสั้นๆในช่วงต้นทศวรรษ 1990 โดยเขาเคยมีส่วนร่วมในแอนิเมชันชื่อดังอย่าง 101 Dalmatians และ Daria ก่อนจะผันตัวมาเป็นศิลปินเต็มตัว
โดยเจ้า Companion โด่งดังไปทั่วโลกในชั่วข้ามคืนจากการปรากฏตัวครั้งแรกในฐานะ Art Toy เมื่อปี 1999 (ร่วมกับ Bounty Hunter) หลังจากนั้น ผลงานของเขาข้ามขอบเขตระหว่างงานศิลปะ สตรีทอาร์ต แฟชั่น และป๊อปคัลเจอร์ ไปจัดแสดงในหลายรูปแบบและหลายสถานที่ รวมทั้งพิพิธภัณฑ์ระดับโลกอย่างเช่น Brooklyn Museum และ Yorkshire Sculpture Park
สิ่งที่ทำให้ Companion โดดเด่นไม่ใช่เพียงแค่หน้าตาอันเป็นเอกลักษณ์ แต่คือพลังในการสื่อสารอารมณ์ที่เข้าถึงได้โดยไม่ต้องมีคำพูด ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าก้มหน้า นอนราบ หรือยืนโบกมือ Companion มีภาษาของมันเองที่สามารถสื่อสารถึงความรู้สึกของคนยุคใหม่ได้อย่างโดนใจ เปรียบเสมือนตัวแทนของอารมณ์เปล่าเปลี่ยว สับสน และโดดเดี่ยวในโลกยุคใหม่
ด้วยเหตุนี้ Companion จึงไม่ใช่แค่ของเล่นหรือตุ๊กตา แต่เป็นหนึ่งในคาแรกเตอร์ศิลปะที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมร่วมสมัย และเป็นภาพจำของศิลปะสายสตรีทที่ทั่วโลกเห็นแล้วจดจำได้ทันที
หนึ่งในโปรเจกต์สำคัญของ KAWS คือ KAWS:HOLIDAY การเดินทางของเจ้า Companion ขนาดยักษ์ที่จะนำไปจัดแสดงกลางแจ้งตามที่ต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งก็ไปมาแล้วทั้งฮ่องกง โซล ไต้หวัน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และจีน จนล่าสุด ณ ขณะนี้ — สนามหลวง กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ศิลปะเข้าถึงผู้คนในพื้นที่สาธารณะได้อย่างเป็นมิตร
KAWS: การต่อต้านกับสิ่งที่ไม่รู้จัก
ส่วนตัวจากการสอบถามกับเพื่อนมิตรศิลปิน และ สังเกตจาก Comment พบว่าส่วนมากคนที่รู้จักและสามารถอธิบายถึง โปรเจค KAWS: HOLIDAY ได้ ผมไม่พบเจอใครที่ไม่เห็นด้วยกับมาจัดแสดงผลงาน Companion ที่สนามหลวงในครั้งนี้ แต่อาจมีการเปรียบเทียบความชอบกับ โปรเจค KAWS:HOLIDAY ในประเทศอื่นอย่างเช่นที่อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ หรือ จีน ดังนั้นสมมุติฐานที่เกิดขึ้น คาดว่าน่าจะมาจากความรู้สึกต่อต้านในสิ่งที่ไม่รู้จัก เพราะหากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ สิ่งที่เกิดขึ้นกับงานของ KAWS ไม่ใช่สิ่งใหม่ในโลกศิลปะ มันคือกลไกพื้นฐานที่ฝังรากลึกของมนุษย์ ผู้คนมักหวาดกลัว หรือปฏิเสธสิ่งใหม่ที่ตนยังไม่เคยเห็นหรือไม่รู้จัก โดยเฉพาะเมื่อผลงานนั้นฉีกขนบ หรือนำเสนอในพื้นที่ที่เคยถูกตีกรอบเอาไว้แล้ว ตัวอย่างเช่น
ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสต์ (Impressionism) คือหนึ่งในตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุด ในศตวรรษที่ 19 กลุ่มศิลปินรุ่นระดับตำนานอย่าง Claude Monet, Edgar Degas และ Pierre-Auguste Renoir ได้เคยถูกปฏิเสธจากระบบศิลปะแบบดั้งเดิมของฝรั่งเศส พวกเขาถูกสถาบันทางศิลปะและนักวิจารณ์หัวเก่าตำหนิว่า ผลงานนั้นดูเหมือนไม่เสร็จ “เลอะเทอะเหมือนเด็กละเลงสี” “แมวเดินเล่นบนเปียโน” และ “ไร้ฝีมือ” เพียงเพราะพวกเขาเลือกจะไม่ปั้นแต่งภาพให้สมจริงตามแบบคลาสสิก แต่เลือกที่จะบันทึก “ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น” แทนความถูกต้องของสัดส่วนหรือแสงเงา เมื่อมาถึงปัจจุบัน ผลงานของกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสต์กลับเป็นที่รักของคนทั้งโลก และจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ระดับแนวหน้าอย่าง Musée d’Orsay หรือ The Metropolitan Museum of Art (The MET) — เป็นอีกหลักฐานว่า เวลาสามารถเปลี่ยน ‘สิ่งแปลกแยก’ ในอดีตกลับกลายเป็น ‘สิ่งที่ยอมระดับได้ในระดับโลก’
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ Marina Abramović ศิลปินชาวเซอร์เบียผู้เป็นตำนานของศิลปะการแสดงสด ในช่วงแรกผลงานศิลปะของเธอถูกโจมตีอย่างหนักโดยเฉพาะในชิ้น Rhythm 0 (1974) ที่เธอจะให้ผู้ชมสามารถทำอะไรก็ได้กับเธอเป็นเวลา 6 ชั่วโมง พร้อมอุปกรณ์ 72 ชิ้น (ตั้งแต่ขนนกไปจนถึงวัตถุอันตราย) ซึ่งผลลัพท์และสิ่งที่เกิดในค่ำคืนนั้นน่าสนใจมากไปชมกันได้ที่นี่
ในผลงานชิ้นนี้สิ่งที่ Marina ต้องการตั้งคำถามคือ “ขอบเขต” ระหว่างศิลปิน-ผู้ชม อำนาจ-การยินยอม ความรุนแรง-ความเป็นมนุษย์ แต่ในเวลานั้น มีคนมากมายมองว่าเธอบ้าหรือวิปริต เวลาผ่านไป ผลงานนี้กลับกลายเป็นบทเรียนคลาสสิกที่นักเรียนศิลปะทั่วโลกต้องเรียนรู้ และเธอได้การขนานนามและยกย่องเป็นอย่างมากในโลกศิลปะร่วมสมัย
KAWS:HOLIDAY THAILAND แล้วไทยได้อะไร
การที่ KAWS นำเจ้า Companion มาแสดงที่ไทยไม่ใช่เพียงแค่การนำประติมากรรมมาตั้งกลางเมืองแล้วจบเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างการรับรู้ระดับนานาชาติใน แฟนๆ ของ KAWS จากทั่วโลกจะหันมามองประเทศไทยเพิ่มภาพจำและความหนักแน่นให้กับประเทศไทยในฐานะเป็นหมุดหมายแห่งศิลปะในแผนที่ศิลปะร่วมสมัย ซึ่งเป็นผลดีมากๆต่อการแข่งกันในการเป็นเมืองหลวงแห่งศิลปะ (Art Capital) ซึ่งตอนนี้แต่ละประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังแข่งขันอย่างเข้มข้น

นอกจากนี้มีหลายคนมากๆนะครับ ที่เดินทางตามรอย KAWS: Holiday ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อ KAWS มา Holiday ที่ไทย แฟนๆเขาก็มาด้วย และ โปรเจคนี้ยังยังเป็นจุดประกายความร่วมมือ Collab ระหว่าง KAWS กับสินค้าไทยเป็น การโปรโมทสินค้าเชิงวัฒนธรรมที่มีศักยภาพเผยแพร่ออกไป อย่างเช่น ยาอมและยาดมอันเลื่องชื่อของประเทศไทย


จากการลงพื้นที่ของผมยังพบเจอชาวต่างชาติมาชมมากมาย บางคนก็ถ่ายรูปแบบจัดเต็ม บางคนก็นอนบนเก้าอี้ชายหาดที่มีให้ยืมใช้ฟรีในงาน และ บางคนก็เอ่ยคำชมว่า อาทิ คำว่า Beautiful, Amazing, Kawaii (น่ารัก) กันเป็นระยะ
แต่ก็แน่นอนว่าทุกคนไม่จำเป็นต้องชอบการจัดแสดงผลงานครั้งนี้ จากทัศนะของผมไม่ว่าตอนนี้คุณจะรู้สึกอย่างไร จะชอบ หรือ ไม่ชอบ จะมองว่ามันเหมาะสม หรือ ไม่เหมาะสม ผมคิดว่าก่อนที่เราจะตัดสินอะไรสักอย่างอยากให้ลองไปชม ทำความรู้จัก สร้างความเข้าใจ จากนั้นเราจะชอบผลงานที่อยู่ตรงหน้าเราหรือไม่ ก็เป็นเรื่องความชอบของแต่ละคนครับ

นิทรรศการ KAWS:HOLIDAY THAILAND เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 07.00 – 22.00 น. ของทุกวัน ตั้งแต่วันนี้ – 25 พฤษภาคม 2025 ณ สนามหลวง กรุงเทพมหานคร
ส่วนหลังจากประเทศไทยแล้ว KAWS จะพาเจ้า Companion ลุกจากสนามหลวงไปที่พักร้อนกันที่ใดต่อติดตามได้ใน taeartman
เรื่องและภาพ เต้ Art Man