พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ ทรุดโทรม ขาดเงิน เสี่ยงปิด

อนาคตพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะสั่นคลอน

ผลงาน Sunflowers, 1889

พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ ที่อัมสเตอดัม สร้างความตะลึงให้กับโลกศิลปะ เมื่อล่าสุดออกจดหมายข่าวให้กับสื่อมวลชน อธิบายถึงสถานการณ์ทางการเงินสั่นคลอน และ อาจจะต้องปิดตัวลงหาก รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ไม่ทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1962 ที่จะสนับสนุนและบำรุงรักษาพิพิธภัณฑ์ที่ตอนนี้ตัวอาคารมีความทรุดโทรมและอาจไม่ปลอดภัยต่อผู้เข้าชม

ในจดหมายข่าวได้มีคำสัมภาษณ์ Emilie Gordenker ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ ที่ให้สัมภาษณ์กับ The New York Times ว่า “หากสถานการณ์ยังดำเนินต่อไป จะเป็นอันตรายทั้งต่อผลงานศิลปะและต่อผู้เข้าชม แต่หากเลี่ยงไม่ได้ เราคงต้องปิดตัว ถึงแม้จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราต้องการ”

จุดเริ่มต้นการสืบสานตำนานแวนโก๊ะ

Almond Blossom, 1890

หลังจาก วินเซนต์ แวน โก๊ะ (Vincent van Gogh) เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1890 ผลงานศิลปะและคอลเลกชันจำนวนมากยังคงอยู่ในความครอบครองของครอบครัว ซึ่งต่อมา รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้ทำข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์กับ วินเซนต์ วิลเล็ม แวน โก๊ะ (Vincent Willem van Gogh) หลานชายผู้ได้รับฉายา “วิศวกร” เพื่อเก็บรักษาผลงานของยอดศิลปิน Post Impressionist คนนี้ ไม่ให้กระจัดกระจายออกไปนอกประเทศ โดยทางรัฐบาลฯให้คำมั่นว่าจะจัดสรรทรัพยากรที่เพียงพอสำหรับการก่อสร้างและบำรุงรักษาพิพิธภัณฑ์เพื่อให้สามารถอนุรักษ์และจัดแสดงผลงานให้สาธารณชนอย่างถาวร

The Bedroom, 1888

หลานชายได้โอนกรรมสิทธิ์ผลงานทั้งหมด ซึ่งรวมถึง ภาพวาด 200 ภาพ ภาพร่าง 500 ภาพ และจดหมาย 900 ฉบับ รวมถึงผลงานศิลปินร่วมสมัยที่แวนโก๊ะสะสมไว้ตลอดหลายปี ให้กับมูลนิธิ Vincent van Gogh Foundation ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยเฉพาะเพื่อการนี้

มรดกที่กำลังถูกท้าทาย

ผลงาน Sunflowers, 1889

พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ ที่อัมสเตอดัม เปิดในปี ค.ศ. 1973 และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว มีผู้เข้าชมสะสมแล้วกว่า 57 ล้านคนตลอดห้าทศวรรษ โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 2017 ที่มีผู้เข้าชมถึง 2.6 ล้านคน และยังเป็นสถานที่เก็บรักษาผลงานระดับตำนาน เช่น Sunflowers, The Potato Eaters, The Bedroom และ Almond Blossom (ทุกรูปที่ปรากฏอยู่ในบทความนี้) รวมถึงจดหมายส่วนตัวของแวนโก๊ะ และผลงานศิลปินร่วมสมัยอย่าง Paul Gauguin และ Georges Seurat

แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมภาระบำรุงรักษาที่หนักหน่วง ด้วยอาคารที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรับมวลมหาประชาชน จึงไม่สามารถรองรับมาตรฐานต่างๆในปัจจุบัน อาทิ ความปลอดภัย ความยั่งยืน และการควบคุมสภาพอากาศ ระบบงานติดตั้งภายในหลายส่วนเสื่อมสภาพ การบำรุงรักษาก็ทำได้ยากเพราะหาอะไหล่ไม่ได้แล้ว จึงทำให้ต้องมีการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อปรับปรุงระบบ โดยปัจจุบันตัวอาคารนั้นเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน

แผนยุทธศาสตร์ 2028 อาจล้มเหลว

The Yellow House (The Street), 1888

ในจดหมายข่าวได้ชี้แจงว่ารายได้ทั้งหมด 85% ของพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ จะมาจากการดำเนินงานด้วยตัวเอง (ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงมากถ้าเทียบกับหลายๆแห่ง) แต่ถึงกระนั้นภาระค่าใช้จ่ายที่หนักหนาสาหัสขนาดนี้ทำให้ทางพิพิธภัณฑ์ต้องหาทางรอดด้วยตนเองตลอดมา อย่างเช่นการไปร่วมมือกับตัวการ์ตูนชื่อดังอย่างโปเกมอน ที่วันเปิดตัวแลกการ์ดโปเกมอน x แวนโก๊ะ นั้นเกิดเป็นจลาจลย่อมๆ

เพื่อแก้ปัญหานี้ทางพิพิธภัณฑ์ได้จัดทำ Masterplan 2028 มูลค่า 104 ล้านยูโร สำหรับการบูรณะและปรับปรุงระบบให้ได้มาตรฐาน โดยจะเริ่มในปี 2028 และใช้เวลาประมาณสามปี ระหว่างนั้นพิพิธภัณฑ์จะสามารถเปิดได้แค่บางส่วน แต่ก็ยังไม่สามารถแบกรับต้นทุนได้เพียงลำพัง ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ต้องใช้เงินตัวเอง การปิดซ่อมปรับปรุง ทำให้รายได้หายไปกว่า 50 ล้านยูโร รวมถึงเงินทุนสำรองเพื่อให้กู้เงินจากรัฐ

รายจ่ายในแต่ละปีอยู่ที่ประมาณ 11 ล้านยูโร แต่ยังขาดอีกปีละ 2.5 ล้านยูโร เนื่องจากกระทรวงการศึกษา วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์สนับสนุนเพียง 8.5 ล้านยูโร

หากไม่ได้รับการสนับสนุนเพิ่ม แผนการซ่อมบูรณะย่อมไม่สามารถเดินหน้าได้ ซึ่งหมายถึงพิพิธภัณฑ์อาจต้องปิด เพราะไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของทั้งผลงาน ผู้เข้าชม และเจ้าหน้าที่ได้

รัฐบาลชี้แจง พร้อมโต้ทางกฏหมาย

ในจดหมายข่าวยังได้แนบลิงก์ไปยังบทความของ The New York Times ซึ่งมีช่วงตอนหนึ่งที่ทางกระทรวงการศึกษา วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ได้ให้ความเห็นเป็นแถลงการณ์ในเรื่องนี้ว่า

“เงินอุดหนุนสำหรับอาคารพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะมีการกำหนดไว้ตายตัวและปรับตามอัตราเงินเฟ้อทุกปี โดยคำนวณตามวิธีการที่ใช้กับพิพิธภัณฑ์แห่งชาติทุกแห่ง”

ตามวิธีการดังกล่าว (ซึ่งไม่ได้อธิบายรายละเอียด) กระทรวงยืนยันว่า “พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะได้รับเงินอุดหนุนต่อหนึ่งตารางเมตรสูงที่สุดแห่งหนึ่งเมื่อเทียบกับพิพิธภัณฑ์แห่งชาติทั้งหมด” พร้อมย้ำว่า “การใช้วิธีการนี้และผลลัพธ์ที่ได้สำหรับพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ ไม่ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงปี ค.ศ. 1962”

ทางกระทรวงฯ ยังกล่าวว่าจะตอบกลับต่อข้อโต้แย้งนี้ด้วย การดำเนินคดีทางกฏหมายที่พิพิธภัณฑ์เป็นผู้เริ่มต้น ในเวลาที่เหมาะสมต่อไป

มูลนิธิ Vincent van Gogh Foundation เจ้าของคอลเลกชัน ได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนพิพิธภัณฑ์ โดยย้ำว่ารัฐบาลต้องทำตามข้อตกลงในปี ค.ศ. 1962 ที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย เนื่องจากหลานชาย “วิศวกร” ได้มอบคอลเลกชันให้สาธารณะแล้ว ในทางกลับกัน รัฐบาลต้องทำหน้าที่ดูแลอย่างถูกต้อง

Wheatfield under Thunderclouds, 1890

ถึงแม้ พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะจะสามารถสร้างรายได้ถึง 85% ด้วยตัวเอง แต่เมื่อมีรายจ่ายก้อนใหญ่รออยู่ข้างหน้า อนาคตที่ไม่ค่อยสดใส อาจนำไปสู่การปิดตัวลง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจะมีคำถามตามมาอีกมาก หนึ่งในนั้นคือ มรดกผลงานของยอดศิลปิน Post Impressionist ผู้นี้จะถูกจัดการต่อไปอย่างไร

เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของ การยืนหยัดได้ด้วยตนเองในโลกศิลปะ ซึ่งในหลายปีที่ผ่านมามีหลายเหตการณ์ตอกย้ำว่าเรื่องนี้มีความสำคัญมากขึ้นไปอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะมองข้ามไม่ได้แล้ว

เรื่อง เต้ Art Man

ขอบคุณภาพจาก พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ ที่อัมสเตอดัม