มาตรการภาษีศิลปะ ใครได้ประโยชน์

ภาษีศิลปะ มาตรการเพื่อสนับสนุนการซื้องานศิลปะและมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนผู้สร้างสรรค์งานศิลปะที่เพิ่งประกาศออกมา จะมีเนื้อหาเป็นอย่างไร วันนี้เต้ Art Man จะอธิบายให้ฟังพร้อมข้อเสนอแนะครับ

มาตรการภาษีศิลปะ ช่วยสองเรื่อง

ล่าสุดมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 อนุมัติหลักการร่างกฎหมายตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการซื้องานศิลปะและมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนผู้สร้างสรรค์งานศิลปะตามที่กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรเสนอ

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “ตามที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะส่งเสริม Soft Power ของประเทศ กระทรวงการคลังได้สนองนโยบายดังกล่าวด้วยการนำเสนอมาตรการภาษี 2 มาตรการดังนี้

มาตรการแรก มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการซื้องานศิลปะ ให้ผู้มีเงินได้หักลดหย่อนค่าซื้องานศิลปะด้านทัศนศิลป์ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาทในแต่ละปีภาษี สำหรับการซื้องานศิลปะด้านทัศนศิลป์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570 โดยต้องซื้อจากศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ศิลปินศิลปาธร สาขาทัศนศิลป์ หรือศิลปินที่ได้ขึ้นทะเบียนศิลปินกับสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย หรือซื้อจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคมที่จำหน่ายงานศิลปะหรือจัดประมูลงานศิลปะ เฉพาะงานศิลปะที่จัดทำหรือสร้างสรรค์โดยศิลปินข้างต้น ทั้งนี้ ผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานเป็นใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปหรือใบรับ พร้อมหลักฐานแสดงรายละเอียดงานศิลปะ

มาตรการที่สอง มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนศิลปินผู้สร้างสรรค์งานศิลปะ ให้ศิลปินผู้มีเงินได้ตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากรที่เป็นเงินได้จากวิชาชีพอิสระประณีตศิลปกรรมหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 60 ตั้งแต่ปีภาษี 2568 เป็นต้นไปเป็นการถาวร โดยไม่กำหนดประเภทศิลปิน”

มาตรการภาษีศิลปะ ใครได้ประโยชน์

ซึ่งจากข้อมูลนี้เรามาดูกันทีละมาตรการ ขอเริ่มจาก มาตรการที่สอง ก่อนแล้วกันนะครับ

จากเดิมที่ศิลปินสามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 30% เป็น 60% ก่อนคำนวณรายได้ ก็นับว่าช่วยศิลปินได้ระดับหนึ่งและเป็นอัตราเดียวกับการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาของประเภทอาชีพ แพทย์และพยาบาลประกอบโรคศิลปะ เลยครับ อันนี้ดีครับ

ส่วนมาตรการที่หนึ่ง ผู้ซื้องานศิลปะสามารถหักลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. 2568 – 31 ธ.ค. 2570 แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องซื้อกับศิลปินดังต่อไปนี้

1.ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์

2.ศิลปินศิลปาธร สาขาทัศนศิลป์ หรือ

3.ศิลปินที่ได้ขึ้นทะเบียนศิลปินกับสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย หรือ

4.ซื้อจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคมที่จำหน่ายงานศิลปะหรือจัดประมูลงานศิลปะ เฉพาะงานศิลปะที่จัดทำหรือสร้างสรรค์โดยศิลปินข้างต้น

และต้องมีหลักฐานเป็นใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปหรือใบรับ พร้อมหลักฐานแสดงรายละเอียดงานศิลปะ

ซึ่งตามความเข้าใจของผม หมายความว่า ต่อให้ซื้อมาได้ในช่องทางการขายที่ระบุไว้ในข้อ 4 แต่ศิลปินผู้นั้นไม่ได้เป็นศิลปินแห่งชาติ หรือ ศิลปินศิลปาธร สาขาทัศนศิลป์ หรือ ศิลปินที่ได้ขึ้นทะเบียนศิลปินกับสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ผู้ซื้อก็จะไม่ได้รับสิทธิลดหย่อน 1 แสนบาทในมาตรการข้อนี้

ในโลกศิลปะบุคคลผู้มีทุนทรัพย์ และ เวลาที่จะไปซื้อหาผลงานของศิลปินแห่งชาติ และ ศิลปินศิลปาธร นั้น การลดหย่อนหรือไม่ลดหย่อนหนึ่งแสนบาท คงไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากนัก หากเทียบกับคนทำงานประจำ ที่วันอาทิตย์คงไม่มีเวลาไปนั่งในห้องประมูลเป็นชั่วโมง (เพราะอาจต้องซักผ้า) และคงเอื้อมไม่ถึงราคาของศิลปินที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น

แต่หากเขามีใจรักศิลปะอยากจะซื้ออุดหนุนผลงานของศิลปินที่เขาชอบ ที่เห็นในแกลเลอรีแถวบ้าน กลับไม่ได้รับการสนับสนุนจากมาตรการนี้ เพียงเพราะศิลปินที่เขาพอจะซื้อได้ ไม่ใช่ศิลปินแห่งชาติ หรือ ศิลปินศิลปาธร หรือ ศิลปินที่ได้ขึ้นทะเบียนศิลปินกับสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย … ผมว่าน่าเศร้านะครับ

และอีกกรณี ถ้ามีนักศึกษาจบใหม่ รวมตัวลงขันกันไปออกบูธเพื่อขายงานศิลปะ ผู้ที่ซื้อผลงานของเขาเหล่านั้นก็คงไม่ได้สิทธิลดหย่อนในมาตรการข้อนี้เช่นกัน เหตุผลที่ผมต้องยกตัวอย่างนี้ขึ้นมา เพราะนักสะสมระดับเริ่มต้น และ ศิลปินหน้าใหม่กลุ่มนี้คือกลุ่มที่ต้องการการสนับสนุนมากที่สุดแล้วในโลกศิลปะอาชีพ (แต่ศิลปินที่ขายงานได้จะได้หักค่าใช้จ่ายตามมาตราการที่สอง)

ซึ่งจากที่กล่าวมา แน่นอนว่าจำนวนของบุคคลที่มีกำลังทรัพย์พอจะซื้องานของศิลปินที่มีชื่อเสียงที่ถูกระบุไว้ในมาตรการดังกล่าวย่อมมีน้อยกว่าคนทั่วไป ดังนั้นเพื่อให้มาตราการเหล่านี้เป็นประโยชน์มากที่สุดกับวงการศิลปะของไทย ผมมีข้อเสนอแนะดังนี้ครับ

มาตรการภาษีศิลปะ ข้อเสนอแนะ

ควรเปิดโอกาสให้ ศิลปินอิสระ ได้รับการครอบคลุมด้วย แต่หากมีความกังวลเรื่องการตรวจสอบ ความโปร่งใส หรือปัญหาการฟอกเงิน อย่างน้อยที่สุดก็ควรให้ “ทุกการขายของแกลเลอรี” ควร ได้รับสิทธิหักลดหย่อนด้วย (แต่ แกลเลอรี เองก็ต้องเสียภาษีให้ถูกต้อง โปร่งใส และออกใบกำกับภาษีเต็มรูปให้ผู้ซื้ออย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วยนะครับ)

แบบนี้จะช่วยให้ระบบเกิดความสมดุลมากขึ้น คือทั้งศิลปินหน้าใหม่ ศิลปินอิสระ และนักสะสมหน้าใหม่ต่างก็ได้รับแรงจูงใจ และที่สำคัญรัฐก็ยังคงควบคุมกลไกการจัดเก็บภาษี และ ตรวจสอบได้

และถ้าจะพูดถึงภาษีกับ Soft Power ระดับโลกอะไรแบบที่อยากจะทำ ผมว่าการสนับสนุนการส่งออก ช่วย Subsidize ภาษี ศิลปินไทยที่จะไปแสดงงานที่ต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันขอบเขต หรือ Boundary มันเบลอจางไปหมดแล้ว ศิลปินประเทศไหนที่ได้รับการสนับสนุนเขาก็จะมีโอกาสในเวทีโลกได้มากกว่า และ นั่นก็จะช่วยทำให้ Soft Power มีพลังอย่างที่มันควรจะเป็น

เรื่อง: เต้ Art Man

อ้างอิงประกาศ: https://www.thaigov.go.th/news/contents/ministry_details/99893