ภาพนามธรรมที่ต้องหยุดฟังในความเงียบ “The End of Nature” โดย ภัทรกร สิงห์ทอง

The End of Nature- ภัทรกร สิงห์ทอง (ภาพ: Number1gallery)

The End of Nature” โดย ภัทรกร สิงห์ทอง เริ่มต้นด้วยจุดสิ้นสุด

เพื่อให้สอดรับกับแนวคิดของนิทรรศการนี้ ผมขอเปิดบทความด้วยประโยคสุดท้ายจากการสัมภาษณ์ ภัทรกร สิงห์ทอง ศิลปินเจ้าของนิทรรศการในครั้งนี้

“ผมอยากให้คนที่มาดู ให้ลองมาแบบนิ่ง ๆ ถอดตัวเองวางลง แล้วลองมาฟังเสียงธรรมชาติจากหัวใจภายในของเรา เพราะถ้าเราไม่ดูสุดท้าย มันอาจจะเงียบหายไปอย่างถาวร”

นิทรรศการ “The End of Nature” ที่ Number1Gallery สีลม 21 เป็นนิทรรศการเดี่ยวล่าสุดต่อจาก “Consequences of the World and Life” ของ ภัทรกร ซึ่งเคยจัดแสดงที่ ICONSIAM เมื่อสองปีก่อน

ภายในนิทรรศการ The End of Nature

ก้าวแรกที่เข้ามาในนิทรรศการครั้งนี้ รับรู้ถึงอารมณ์ที่แตกต่างไปในหลายมิติ ทั้งการเลือกใช้สีสันที่มากขึ้น การใช้วัสดุที่หลากหลาย รวมถึงรูปทรงของผลงานที่มีความลดทอนและเป็นนามธรรมมากกว่าเดิม แต่ก็ยังสามารถคงเอกลักษณ์อันหนักแน่นของ ภัทรกร ไม่ว่าจะเป็นเส้นสายที่ทรงพลัง แนวคิดการสร้างผลงานที่ยังลงลึกค้นหาคำตอบของสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติ รวมถึงการนำเสนอผลงานศิลปะนามธรรมบนผ้าใบขนาดใหญ่ และที่ขาดไม่ได้คือ “ลำไย” (คืออะไรติดตามต่อไป)

“เวลาพูดถึงจุดสิ้นสุดของธรรมชาติ เรามักนึกถึงการผุกร่อนของต้นไม้ใบหญ้าที่แตกสลายไป แต่จริง ๆ แล้ว การสิ้นสุดของธรรมชาติสำหรับผมคือ การที่เราเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งภายนอกภายในของตัวเรา หรือตัวเราเองกับคนอื่น ทั้งหมดนั้นคือธรรมชาติเหมือนกัน เมื่อมองเช่นนั้นได้แล้ว มันสิ้นสุดความแบ่งแยกจากตัวเราเองกับผู้อื่น แบ่งแยกกับภายนอกภายใน ไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ เพราะทุกอย่างคือธรรมชาติเหมือนกันหมด ซึ่งสุดท้ายแล้วธรรมชาติของสรรพสิ่งคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ผมจึงตั้งชื่อนิทรรศการครั้งนี้ว่า ‘จุดสิ้นสุดของธรรมชาติ’ (The End of Nature)” ภัทรกรอธิบายแนวคิดของนิทรรศการนี้ให้ฟัง

จุดเริ่มต้นจากธรรมชาติที่สิ้นสุด

ผลงานแต่ละชิ้นนั้นสร้างขึ้นจากแนวคิดนี้อย่างลึกซึ้ง เพราะหากทุกอย่าง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป สิ่งที่สำคัญที่สุดของมนุษย์คือการอยู่กับปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการสร้างสรรค์งานของภัทรกรในนิทรรศการนี้ที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนการวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าสุดท้ายผลงานจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร

The End of Nature- ภัทรกร สิงห์ทอง (ภาพ: Number1gallery)

“ตอนทำงานผมไม่มีภาพในหัวเป็นสูตรสำเร็จ มันเหมือนกับอะไรล่ะ…(คิด)…เหมือนกับเราภาวนาโดยไม่ต้องมีจุดหมาย แต่เราแค่รู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ในปัจจุบัน นั่นแหละคือความจริงของธรรมชาติที่ผมพยายามเรียนรู้ผ่านงานศิลปะไปทุก ๆ วัน หลายชิ้นงานผมเองก็เพิ่งเห็นภาพสุดท้ายในวันที่จะส่งผลงานมาแสดงที่นี่” ภัทรกรได้เล่าถึงกระบวนการทำงาน

จากนั้นก็ได้พาผมไปชมผลงานชุด The End of Nature no.2-5 ซึ่งเป็นการใช้ผ้าใบมาจัดเรียงให้เป็นรูปทรงนูนออกมาจากกรอบ

ผลงานชุด The End of Nature no.2-5 (ภาพ: Number1gallery)
รายละเอียดผลงาน The End of Nature no.02

“ผลงานชุดนี้สร้างมาจากผ้าใบที่โดนน้ำท่วมที่เชียงใหม่เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว อย่างชิ้นนี้ (no.5) ผมไม่ได้วาดอะไรเลย เอามาขยำ ๆ จัดรูปทรงแล้ววางบนเฟรม และเคลือบเลย ตัวงานจะได้คงสภาพอยู่นานๆ ส่วนสีดำๆ ที่เห็นนี่คือราที่ขึ้นตามธรรมชาติ ตัวงานของผมมีองค์ประกอบของธรรมชาติเข้ามาเยอะ มันเป็นการลดอีโก้และตัวตนของศิลปิน อย่างบางคนเขาต้องการสร้าง Concept บอกเล่าเรื่องราวอะไร แต่ผมอยากจะอธิบายถึงธรรมชาติโดยให้ธรรมชาติมันบอกเล่าตัวเอง”

ภัทรกรขณะกำลังชมผลงาน The End of Nature no.05 (ภาพ: Number1gallery)
รายละเอียดดของผลงาน The End of Nature no.05

โดยปกติแล้ว ภัทรกรจะใช้เวลาสร้างผลงานแบบ outdoor ซึ่งเป็นสวนลำไย จากนิทรรศการ “Consequences of the World and Life” ครั้งก่อนที่ ICONSIAM มีผลงานที่ต้นลำไยมีส่วนร่วมสร้างสรรค์ กล่าวคือไม่ว่าต้นลำไยจะทิ้งคราบหรือร่องรอยอะไรไว้บนผ้าใบของเขา ภัทรกรจะปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น เขามองว่ามันคือศิลปะที่ธรรมชาติมามีส่วนร่วมในผลงานของเขา และในครั้งนี้ลำไยก็ร่วมสร้างสรรค์ด้วยเช่นเคย โดยผลงานที่เห็นได้ชัดคือ The End of Nature no.6 ที่เห็นเม็ดลำไยทั้งเมล็ดอยู่ในผลงานสีอะคริลิคบนผ้าชีทฟ้าขาว (ผ้าใบทาร์โพลีน)

ผลงาน The End of Nature no.6 (ภาพ: Number1gallery)
รายละเอียดผลงาน The End of Nature no.6 ที่จะเห็นเมล็ดลำไยอยู่ในผลงาน โดยที่ศิลปินก็ไม่เอาออก เพราะมองว่ามันเป็นเรื่องของธรรมชาติ
รายละเอียดผลงาน The End of Nature no.6

ภาพนามธรรม ความรัก และการเติบโตจากธรรมชาติ

ผลงาน The End of Nature no.6

จากข้อสังเกตเบื้องต้นจะเห็นว่าผลงานศิลปะในครั้งนี้ของภัทรกรมีความลดทอนรูปทรงที่เป็นภาพนามธรรมมากขึ้น ไปค้นหากันว่าระหว่างสร้างงาน ศิลปินจากลำพูนคนนี้เขาคิดอะไร

ศิลปินกับผลงาน ไหลมา เทมา บ่ ขาด (ภาพ: Number1gallery)
รายละเอียดผลงาน ไหลมา เทมา บ่ ขาด

“ถ้าเทียบกับนิทรรศการเดี่ยวครั้งก่อน เป็นเหมือนบันทึกการเรียนรู้ เรารู้อะไรมาก็บันทึกสรุปไว้ในงานศิลปะ อย่างเช่นตัวอักษรที่เป็นคำ ๆ (ที่ปรากฏในงานครั้งก่อน) แต่มาคราวนี้เหมือนเราเติบโตขึ้น คำ อักษรเหล่านั้นก็หายไปจากระบบ เหลือไว้แต่รูปทรงที่ไม่ใช่รูปทรง”

คำว่า “รูปทรงที่ไม่ใช่รูป” นี้ ภัทรกรได้ยกตัวอย่างเช่นชุดผลงานผ้าใบน้ำท่วมที่เชียงใหม่ข้างต้น ที่เขาเอามาขยำ ๆ จนได้รูปทรงที่ไม่เป็นรูปเป็นทรงอะไรที่เฉพาะเจาะจง

ภาพนามธรรม
รายละเอียดส่วนที่พาดจากด้านผลของผลงาน The End of Nature no.1(มุมเสย)

แล้วก็มาถึงผลงานที่ถือว่าเป็น Highlight สำคัญของนิทรรศการนี้ ผลงาน The End of Nature no.1 ซึ่งเป็นผ้าใบยาวสิบเมตรพาดกลางห้องของนิทรรศการ ผลงานชิ้นนี้เกี่ยวกับสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ที่หลาย ๆ คนคงได้พบเจอในชีวิต สิ่งนั้นก็คือ “ความรัก”

“ช่วงทำผลงานนี้ มันเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องชีวิต ต้องแยกทางกับคนรัก” ภัทรกรกล่าวต่อว่า “ตอนแรกเลยสีมันสดใสมาก ๆ แต่พอเวลาผ่านไป พอมันต้องมาอยู่คนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียว ผมก็เริ่มราดสีลงไปเป็นร้อยเลเยอร์เลย ราดไปแบบ บางบ้าง จางบ้าง เทไปทั้งสองด้าน ถ้าไปดูใกล้ ๆ บางทีอาจจะมีคราบน้ำตาผสมอยู่ในนั้นด้วย”

จากมุมนี้ของผลงาน The End of Nature no.1 จะเห็นว่าชั้นสีหนาจริงๆ ท่านผู้อ่าน เห็นชั้น “น้ำตา” กันไหม

เมื่อมองไปที่ด้านบนของผลงานนี้ จะเห็นชั้นสีเงา ๆ ที่หนามากจริงๆ หลังจากที่ผ่านเรื่องเศร้าเคล้าน้ำตามาได้ การที่เขาได้สร้างผลงานนี้เป็นประหนึ่งการยอมรับและเรียนรู้ในตัวเองถึงความสัจธรรมแห่งความจริงที่ทุกอย่าง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป …. และผลงานนี้เปลี่ยนผ่านไปตามธรรมชาติของโลกศิลปะเพราะมีผู้รับไปดูแล้วตั้งแต่วันเปิดนิทรรศการ

ภาพรายละเอียดผลงาน The End of Nature no.1

(หากใครที่กำลังผิดหวังจากความรัก จะลองใช้วิธีเดียวกันนี้ก็ได้ โดยภัทรกรแนะนำว่า ถ้าไม่รู้จะวาดอะไร ให้วาดไปเลย วาดอะไรก็ได้ที่เรารู้สึก หรืออะไรที่ทำให้เรารู้สึกดี อย่างเช่น ตอนนี้เรายังมีสองมือ สองเท้า มีลมหายใจอยู่ เราจะเรียนรู้และเติบโตไปกับธรรมชาติของโลกนี้ ซึ่งภาพนามธรรมนี้ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่จะทำให้เราแสดงออกถึงอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว)

ไม่เพียงแค่งานจิตรกรรม ภัทรกรยังใช้บทกวีเป็นอีกช่องทางในการสื่อสารอารมณ์

“พักหลังผมเริ่มเขียนกลอนในเฟซบุ๊ก ผมรู้ตัวว่าผมแต่งกลอนได้เพราะความรักที่จบลงนั่นแหละ คือถ้าไม่มีคนเดินจากไปจากชีวิต ผมก็จะไม่รู้เลยว่าผมมีศักยภาพตรงนี้ ในทุกความทุกข์ มันมีเมล็ดของศิลปะอยู่ ถ้าเรามองเห็น มันจะกลายเป็นพลังบางอย่างให้เราก้าวต่อได้…อย่างสงบ และสวยงาม” (ถ้าใครสนใจก็ไปตาม Facebook ของศิลปินได้)

นิทรรศการ “The End of Nature” การเยี่ยมชมก่อนจะถึงจุดสิ้นสุด

The End of Nature- ภัทรกร สิงห์ทอง (ภาพ: Number1gallery)

นิทรรศการนี้ ไม่ได้เพียงพาเราสำรวจธรรมชาติภายนอก หากแต่กระตุ้นให้เรากลับมาฟังเสียงภายในตัวเอง และแล้วเราก็มาถึงจุดสิ้นสุดของการพาชมนิทรรศการนี้ ภัทรกรได้ฝากถึงท่านผู้อ่าน เต้ Art Man ทุกคนว่า

“อยากจะเชิญชวน ลองมาเงี่ยหูฟังเสียงที่มันไร้ถ้อยคำ มาดูผลงานศิลปะที่ไม่ใช่งานศิลปะเพราะว่ามันเป็นธรรมชาติ ผมอยากให้คนที่มาดู ให้ลองมาแบบนิ่ง ๆ ถอดตัวเองวางลง แล้วลองมาฟังเสียงธรรมชาติจากหัวใจภายในของเรา เพราะถ้าเราไม่ดูสุดท้าย มันอาจจะเงียบหายไปอย่างถาวร”

นิทรรศการ “The End of Nature” โดย ภัทรกร สิงห์ทอง เปิดให้ชมแล้วตั้งแต่วันนี้ – 15 มิถุนายน 2025 ที่ Number1Gallery ซอยสีลม 21
เปิดทุกวันจันทร์–เสาร์ เวลา 11:00–18:00 น. (ปิดวันอาทิตย์) เข้าชมฟรี

ภัทรกรแอบกระซิบกับ เต้ Art Man ว่า ช่วงต้นเดือนหน้า ราว ๆ วันที่ 2-3 มิถุนายน 2025 จะมีการเปลี่ยนโฉม เปลี่ยนผลงานจัดแสดงเกือบทั้งหมด ถ้าใครอยากจะชมนิทรรศการทั้งสองรูปแบบ ก็ควรไปชมรูปแบบปัจจุบันก่อนสิ้นเดือนพฤษภาคม 2025

ไปชมบรรยากาศของนิทรรศการ The End of Nature กันต่อเลยครับ (ขอบคุณภาพจาก Number1gallery)

ศิลปิน(ทางขวา) ขณะติดตั้งผลงานในนิทรรศการ

ภัทรกร สิงห์ทอง ขณะพูดคุยกับ เต้ Art Man

เรื่องและภาพ: เต้ Art Man