เช้านี้นั่งจิบช็อกโกแลตร้อนๆ คู่กับขนมปังสังขยากลิ่นใบเตยหอมบางเบา พลางไปนึกถึงเรื่องร้อนแรงในวงการศิลปะในอาทิตย์ที่ผ่าน คงหนีไม่พ้นเรื่องเวทีสัมมนาเกี่ยวกับการจัดงานประมูลศิลปะ ซึ่งมีเสียงสะท้อนจากศิลปินในหลายแง่มุม มาถึงวันนี้ก็น่าจะผ่านมาแล้ว 4-5 วัน ส่วนตัวผมยังไม่เห็นทางห้องประมูลได้ออกมาชี้แจงประเด็นที่ถูกพูดถึงในสัมมนาหลังจากนั้นเลย (ถ้าใครเห็นแล้วส่งมาบอกกันด้วยนะครับ) และ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเรื่องนี้จะจบลงได้ด้วยดีด้วยความเข้าใจและการปฏิบัติที่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ผมมองว่าโดยเนื้อแท้แล้ว “ระบบการประมูล” ไม่ได้ทำลายศิลปินหรอกครับ เพราะการประมูลในโลกศิลปะมีมาหลายร้อยปีแล้ว ถ้ามันทำลายจริงๆคงอยู่ไม่ได้นานขนาดนี้
ระบบการประมูลเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 17 โดยเฉพาะในเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นยุคที่การค้าและชนชั้นกลางเฟื่องฟู ส่งผลให้ตลาดภาพวาดมีความต้องการสูง การประมูลจึงกลายเป็นวิธีหนึ่งในการกำหนดมูลค่างานศิลปะอย่างเปิดเผยต่อหน้าสาธารณะ
ในเวลาต่อมา อังกฤษเป็นประเทศที่พัฒนาต่อยอดระบบการประมูลให้เป็นสถาบันอย่างจริงจัง (หรือที่เรียกว่า Auction House ที่เรารู้จักกันนั่นหละครับ) โดย Sotheby’s ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1744 และ Christie’s ในปี ค.ศ. 1766 ทั้งสองถือเป็นห้องประมูลศิลปะที่เก่าแก่และยังคงมีบทบาทสำคัญในวงการจนถึงปัจจุบัน
ในโลกของการประมูลนั้นหลักๆสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 แบบครับ:
- English Auction — เริ่มต้นที่ราคาต่ำแล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ใครให้ราคาสูงสุดก็ชนะ เป็นระบบที่ใช้กันมากที่สุด โดยเฉพาะในห้องประมูลใหญ่ระดับโลก เช่น Sotheby’s หรือ Christie’s
- Dutch Auction — ตรงกันข้ามกับแบบแรก เริ่มที่ราคาสูง แล้วค่อย ๆ ลดลงจนกว่าจะมีคนรับราคา เป็นระบบที่เร็วและเด็ดขาด ใช้กันมากในตลาดดอกไม้หรือ IPO ของหุ้นบางประเภท รวมถึง การประมูล NFT (ในช่วงฮอตๆที่ผ่านมา)
- Sealed-Bid Auction (ยื่นซอง) — ผู้เข้าร่วมแต่ละคนเสนอราคาของตนแบบลับ ๆ ใส่ซองไว้ ใครเสนอสูงสุดก็ได้งานไป เหมาะกับของหายากหรือการประมูลที่ไม่อยากให้ผู้เสนอราคาทราบกันและกัน
- Vickrey Auction — คล้ายกับแบบยื่นซองแต่คนชนะจะจ่ายราคา “อันดับสอง” แทนที่จะจ่ายราคาที่ตัวเองเสนอ จุดเด่นคือความเป็นธรรมและลดแรงจูงใจในการเสนอราคาสูงเกินจริง
และถ้ามองให้ลึกการประมูลไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่มันสะท้อนความเชื่อใจ ความโปร่งใส และ จิตคารวะในคุณค่าของผลงานศิลปะและการทำงานของศิลปิน หากการบริหารจัดการกลไกนี้มีปัญหา ไม่ว่าจะจากเจตนาใด มันก็สะเทือนทั้งระบบ ตั้งแต่ศิลปิน นักสะสม ไปจนถึง ห้องประมูลเอง
เพราะสุดท้ายแล้ว ศิลปะไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของสังคมที่ทำให้โลกศิลปะขับเคลื่อนต่อไปได้ ให้คนรุ่นหลังได้เห็นคุณค่าต่อไป
Happy Sunday
เต้ Art Man
29.06.2025