Read in English / 阅读语言 English
简体中文
การขายงานศิลปะ จากนี้ต้องมีที่มาต้องชัดเจน(Provenance) ตรวจสอบได้ สหภาพยุโรปเตรียมบังคับใช้กฎระเบียบใหม่ว่าด้วยการนำเข้าและค้าขายสินค้าวัฒนธรรม ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเคลื่อนย้ายผลงานศิลปะและวัตถุโบราณระหว่างประเทศ กฎระเบียบเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อต่อสู้กับการค้าผิดกฎหมาย โดยเฉพาะสินค้าที่มาจากพื้นที่ที่กำลังมีกรณีพิพาท และกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องตรวจสอบประวัติความเป็นเจ้าของอย่างเข้มงวดขึ้น เต้ Art Man ขอพาไปรู้จักกับสาระสำคัญของกฎระเบียบฉบับนี้ พร้อมวิเคราะห์ผลกระทบต่อผู้ค้า นักสะสม และสถาบันวัฒนธรรม
กฎใหม่ที่จะบังคับใช้ในเดือนมิถุนายน 2025
กฎระเบียบ EU 2019/880 ที่ว่านี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2025 โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการควบคุมการนำเข้า “สินค้าวัฒนธรรม” ซึ่งรวมถึงงานศิลปะ วัตถุโบราณ และของสะสมหลากหลายประเภท โดยเน้นไปที่การสกัดกั้นการค้าสินค้าวัฒนธรรมที่ผิดกฏหมายและการฟอกเงิน
การจัดประเภทของสินค้าวัฒนธรรม
กฎระเบียบฉบับนี้แบ่งสินค้าวัฒนธรรมออกเป็น 3 หมวด:
- หมวด A: สินค้าวัฒนธรรมที่ถูกนำออกจากประเทศต้นทางอย่างผิดกฎหมาย จะถูกห้ามนำเข้าโดยเด็ดขาด
- หมวด B: วัตถุจากการขุดค้นทางโบราณคดีที่มีอายุเกิน 250 ปี ต้องขอใบอนุญาตนำเข้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ระดับสหภาพยุโรป พร้อมแนบหลักฐานการนำออกอย่างถูกกฎหมาย
- หมวด C: วัตถุวัฒนธรรมที่มีอายุเกิน 200 ปี และมีมูลค่าเกิน 18,000 ยูโร (หรือประมาณ 720,000 บาท)(ยกเว้นที่อยู่ในหมวด B) ต้องยื่นแบบฟอร์มแถลงการณ์พร้อมลายเซ็นรับรองการนำออกโดยชอบด้วยกฎหมาย และคำอธิบายมาตรฐานของวัตถุนั้น
หากไม่สามารถระบุประเทศต้นทางได้ หรือวัตถุนั้นถูกนำออกจากประเทศก่อนวันที่ 24 เมษายน 1972 ผู้นำเข้าสามารถแถลงว่าได้นำออกจากประเทศสุดท้ายที่วัตถุนั้นอยู่มากกว่า 5 ปีโดยไม่ใช่เพื่อการใช้งานชั่วคราว ทั้งนี้ วัตถุที่มีถิ่นกำเนิดภายในยุโรป จะไม่อยู่ภายใต้กฎระเบียบนี้
ผลกระทบต่อผู้ค้าศิลปะและสถาบันวัฒนธรรม
กฎระเบียบใหม่จะเปลี่ยนภาระหน้าที่ในการแสดงหลักฐานไปยังผู้ค้า นักสะสม และพิพิธภัณฑ์ ต้องจัดหาหลักฐานที่แสดงถึงแหล่งที่มาของผลงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย นี่อาจนำมาซึ่งภาระด้านเอกสารและการจัดการ โดยนักสะสมที่ต้องการขายผลงานต้องเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบที่มาเให้สอดคล้องกับข้อบังคับนี้
ในมุมหนึ่งการตรวจสอบที่มาอย่างถี่ถ้วน อาจช่วยเพิ่มมูลค่าผลงานและความสบายใจกับผู้ซื้อได้ แม้แต่ผลงานที่ได้มาก่อนเดือนมิถุนายน 2025 ก็ต้องแสดงหลักฐานการนำเข้าอย่างถูกต้อง ผู้ค้าจะต้องระบุประเทศต้นทาง วันที่ออกจากประเทศนั้น และเจ้าของก่อนหน้าอย่างครบถ้วน แม้จะมีข้อยกเว้นในบางกรณีที่ไม่สามารถระบุต้นทางได้ แต่ความกลัวว่าจะถูกยึดผลงาน(หากไม่สามารถชี้แจ้งได้) และขั้นตอนที่ซับซ้อน ก็ยังเป็นประเด็นสำคัญ หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า กฎนี้อาจสร้างภาระมากเกินไป โดยไม่สามารถยับยั้งการค้าที่ผิดกฎหมายได้อย่างแท้จริง
การประกันภัยสำหรับสินค้าวัฒนธรรมและการขายงานศิลปะ
ในขณะนี้บริษัทประกันยังไม่มีแผนความคุ้มครองเฉพาะที่ตอบโจทย์กฎระเบียบใหม่ โดยการประกันทั่วไปจะครอบคลุมเฉพาะการสูญหายหรือความเสียหายทางกายภาพเท่านั้น ความเสียหายจากการขาดประวัติความเป็นเจ้าของที่ชัดเจนมักไม่อยู่ในความคุ้มครอง อาจมีการพิจารณาขยายกรมธรรม์ “Defective Title Insurance” ที่รวมถึงความผิดปกติในด้านประวัติที่มา ส่วนการถูกยึดทรัพย์สินยังคงไม่ครอบคลุม ยกเว้นในบางกรณี
บทบาทของ Blockchain และ NFTในการตรวจสอบที่มา
หากพิจารณาจากเทคโนโลยีศิลปะทั้งหมดในขณะที่ผมกำลังเขียนข่าวนี้ ทั้ง Blockchain และ NFT สามารถเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบประวัติความเป็นเจ้าของผลงานศิลปะอย่างโปร่งใสที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก(แต่ภาษาชาวบ้านคือเปลี่ยนแปลงแทบไม่ได้)ด้วยลักษณะของระบบที่สามารถบันทึกข้อมูลย้อนหลังได้อย่างถาวรและเปิดเผยต่อสาธารณะ Blockchain จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการจัดเก็บข้อมูลการเคลื่อนย้ายผลงานแต่ละชิ้น ตั้งแต่เจ้าของรายแรกไปจนถึงผู้ครอบครองปัจจุบัน ช่วยลดความเสี่ยงของการปลอมแปลงเอกสารและเพิ่มความน่าเชื่อถือของข้อมูลสำหรับผู้นำเข้าและหน่วยงานตรวจสอบ และยังสามารถป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ ถือว่าได้เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่สามารถนำมาใช้กับการขายศิลปะได้อย่างน่าสนใจ
เรื่อง เต้ Art Man
ภาพ สร้างจาก AI โดย เต้ Art Man